Share

ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีไหม? รู้ก่อนโดนเรียกย้อนหลัง

Last updated: 20 Oct 2025
22 Views
ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีไหม? รู้ก่อนโดนเรียกย้อนหลัง [อัปเดตล่าสุด]

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการ ขายของออนไลน์ ได้กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้หลักของใครหลายคน ด้วยความสะดวกสบายและต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่าการมีหน้าร้าน แต่ท่ามกลางการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce คำถามที่มักจะตามมาเสมอคือแล้วเรื่อง ภาษีอีคอมเมิร์ซ ล่ะ? 


ซึ่งพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์หลายคนโดยเฉพาะมือใหม่มักมีความเข้าใจผิดว่าการค้าขายบนโลกออนไลน์นั้นเป็นพื้นที่ปลอดภาษี ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะกรมสรรพากรมีวิธีการตรวจสอบที่ทันสมัย ดังนั้นในบทความนี้ i-BOX By Netbay จะมาอธิบายและพาทุกคนทำความเข้าใจเรื่อง ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีไหม จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ก่อนที่จะสายเกินไป


ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีไหม? ไขข้อสงสัยคาใจ

คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคือ "ต้องเสียภาษี" โดยหลายคนอาจมีความเข้าใจผิดว่าพื้นที่ออนไลน์เป็นเหมือน 'แดนสนธยา' ทางภาษีที่กรมสรรพากรไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือรายได้ที่รับโอนผ่านบัญชีส่วนตัวนั้นไม่จำเป็นต้องนำมาคำนวณ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย ตามประมวลรัษฎากรซึ่งเป็นกฎหมายภาษีหลักของประเทศไทย กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อบุคคลใดมี "เงินได้พึงประเมิน" เกิดขึ้นจากการประกอบอาชีพ การทำธุรกิจ หรือจากทรัพย์สิน บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องนำรายได้มายื่นเพื่อเสียภาษี


ดังนั้นรายได้จากการ ขายของออนไลน์ จึงไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น กรมสรรพากรไม่ได้แบ่งแยกเลยว่ารายได้นั้นจะมาจากการเปิดหน้าร้านแบบดั้งเดิมหรือการไลฟ์สดขายของบนโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าคุณจะตั้งร้านอยู่บนห้างสรรพสินค้าหรือบนโลกออนไลน์ หลักการทางภาษีก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกัน หน้าที่นี้ครอบคลุมผู้ขายทุกคน 


ไม่ว่าคุณจะทำในนามบุคคลธรรมดาที่รับเงินเข้าบัญชีส่วนตัว หรือจดทะเบียนเป็นบริษัทก็ตาม ดังนั้น คำถามที่ถูกต้องสำหรับผู้ค้าออนไลน์ในบทความนี้จึงไม่ใช่ "ต้องเสียภาษีไหม?" แต่ควรเป็น "เราจะจัดการและยื่นภาษีอย่างไรให้ถูกต้อง?" ต่างหาก


ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง? เช็กหลักเกณฑ์ภาษีที่ต้องเสีย
เมื่อเข้าใจแล้วว่าการค้าขายออนไลน์นั้นหนีไม่พ้นเรื่องภาษี คำถามต่อมาคือต้องเกี่ยวข้องกับภาษีประเภทไหนบ้าง โดยหลักๆ แล้วสำหรับผู้ค้าออนไลน์จะเกี่ยวข้องกับภาษี 2 ประเภทด้วยกัน



1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

นี่คือภาษีพื้นฐานที่สุดที่ผู้ค้าออนไลน์ทุกคนต้องเจอ โดยจะต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ ภ.ง.ด.94 สำหรับรายได้ครึ่งปีแรก (ยื่นช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.) และ ภ.ง.ด.90 สำหรับรายได้ทั้งปี (ยื่นช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. ของปีถัดไป) การคำนวณ ภาษีขายของออนไลน์ จะมาจากสมการ


(รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) = เงินได้สุทธิ

จากนั้นนำเงินได้สุทธิไปคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันได ซึ่งค่าใช้จ่ายสามารถเลือกหักได้ 2 แบบ คือหักแบบเหมา 60% หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริง (ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่ายครบถ้วน)



2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

ภาษีประเภทนี้จะเกี่ยวข้องกับผู้ค้าออนไลน์ที่มีรายได้เติบโตถึงระดับหนึ่ง โดยกฎหมายกำหนดว่า หากผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเมื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนแล้ว จะต้องเรียกเก็บ VAT 7% จากลูกค้า และออกเอกสารสำคัญที่เรียกว่า ใบกำกับภาษี ให้กับลูกค้าทุกครั้งที่มีการขาย



เริ่มต้นอย่างไร? 4 ขั้นตอนเตรียมตัวเสียภาษีสำหรับผู้ค้าออนไลน์

เมื่อรู้แล้วว่าต้องเสียภาษีแน่ๆ แทนที่จะกังวลใจ การเริ่มต้นเตรียมตัวอย่างเป็นระบบตั้งแต่วันนี้คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับร้านค้าออนไลน์ของคุณ ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ จาก 4 ขั้นตอนพื้นฐานนี้



1. แยกบัญชีส่วนตัวและร้านค้าออกจากกัน
นี่คือกฎเหล็กข้อแรกที่สำคัญที่สุด อย่าใช้บัญชีส่วนตัวรับเงินค่าสินค้าโดยเด็ดขาด การเปิดบัญชีธนาคารใหม่สำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมรายรับ-รายจ่ายที่ชัดเจน และง่ายต่อการรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นภาษีในอนาคต


2. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ

จดบันทึกทุกการเคลื่อนไหวทางการเงินของร้าน ไม่ว่าจะเป็นยอดขายในแต่ละวัน ต้นทุนสินค้า ค่าแพ็กของ ค่าขนส่ง หรือค่าการตลาด การมีข้อมูลเหล่านี้จะทำให้คุณรู้กำไรที่แท้จริงของธุรกิจ และเป็นหลักฐานสำคัญหากเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง


3. เก็บหลักฐานทุกอย่างให้เป็นนิสัย

เก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบิลเงินสด ใบเสร็จรับเงิน สลิปการโอนเงิน หรือใบกำกับภาษีจากซัพพลายเออร์ จัดเก็บให้เป็นหมวดหมู่และเป็นระเบียบ เพราะเอกสารเหล่านี้คือสิ่งที่จะช่วยยืนยันค่าใช้จ่ายของธุรกิจคุณกับกรมสรรพากร


4. ศึกษาเรื่องค่าลดหย่อนภาษี

นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายของธุรกิจแล้ว ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายังสามารถใช้สิทธิค่าลดหย่อนส่วนตัวอื่น ๆ ได้อีกมาก เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, ค่าเบี้ยประกัน, ค่าเลี้ยงดูบุตร/บิดามารดา หรือการลงทุนในกองทุนต่าง ๆ การศึกษาเรื่องนี้จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย



กรมสรรพากร รู้รายได้ของเราได้อย่างไร?

หลายคนอาจสงสัยว่าในเมื่อเราทำธุรกรรมกันบนโลกออนไลน์ แล้วกรมสรรพากรจะรู้รายได้ของเราได้อย่างไร ในปัจจุบันมีเครื่องมือและกฎหมายที่ทำให้การตรวจสอบทำได้ง่ายขึ้นมาก


กฎหมาย e-Payment: สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมของบัญชีที่มี "ยอดรับฝากหรือโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกันเกิน 3,000 ครั้งต่อปี" หรือ "ยอดรับฝากหรือโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง และมียอดรวมเกิน 2 ล้านบาทต่อปี" ให้กรมสรรพากรทราบ
การตรวจสอบจากแพลตฟอร์ม: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่มีการเชื่อมโยงและรายงานข้อมูลการขายให้แก่กรมสรรพากร
การสุ่มตรวจและผู้ซื้อแจ้งข้อมูล: กรมสรรพากรมีการสุ่มตรวจร้านค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ รวมถึงอาจได้รับข้อมูลจากผู้ซื้อที่ต้องการเอกสารทางภาษีด้วย
แล้วถ้าขายของออนไลน์ ไม่ยื่นภาษี จะเกิดอะไรขึ้น?

การเพิกเฉยต่อการยื่น ภาษีขายของออนไลน์ จะนำมาซึ่งบทลงโทษที่รุนแรงกว่าเงินภาษีที่ต้องจ่ายหลายเท่านัก ไม่ว่าจะเป็นค่าปรับทางอาญา, เบี้ยปรับทางแพ่งสูงสุด 2 เท่าของค่าภาษี และที่สำคัญคือ "เงินเพิ่ม" ในอัตรา 1.5% ต่อเดือนของยอดภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งจะถูกคิดย้อนหลังไปจนถึงวันที่คุณควรจะต้องจ่าย ทำให้ยอดหนี้ภาษีที่อาจจะเพิ่มขึ้นอีกได้ในอนาคต



จด VAT ยื่นภาษีแล้วทำอะไรต่อ? รู้จักหัวใจสำคัญที่เรียกว่า ใบกำกับภาษี

สำหรับผู้ขายที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีและได้จดทะเบียน VAT แล้ว การออกเอกสาร ใบกำกับภาษี คือหน้าที่สำคัญที่ละเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะเอกสารนี้คือหลักฐานยืนยันการซื้อขายที่ผู้ซื้อ (โดยเฉพาะในรูปแบบบริษัท) ต้องใช้ในการดำเนินการทางภาษีของพวกเขา การออกเอกสารที่ถูกต้องจึงแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของร้านค้า


อย่างไรก็ตาม ในยุคดิจิทัลการออก ใบกำกับภาษี ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนกระดาษอีกต่อไป เพราะในปัจจุบันมีระบบที่ชื่อ E-Tax Invoice เข้ามา ซึ่งนี่คือระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้งาน โดยสามารถออกใบกำกับภาษีในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล 


เพียงลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) ที่ใช้ยืนยันตัวตนผู้ออกและรับรองว่าเอกสารไม่มีการแก้ไข ถือเป็นทางเลือกที่ทันสมัย ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้ร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมาก


 

เริ่มสเกลธุรกิจขายของออนไลน์ ภาษีคือเรื่องที่ต้องจัดการให้ถูกต้อง เริ่มต้นด้วย i-BOX by NETbay
การ ขายของออนไลน์ และ ภาษี เป็นสิ่งที่ต้องเดินคู่กันเสมอ การวางแผนภาษีและยื่นภาษีให้ถูกต้องไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณนอนหลับได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกตรวจสอบย้อนหลัง แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจของคุณเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น เริ่มศึกษาและจัดการเรื่องภาษีตั้งแต่วันนี้ เพื่อความได้เปรียบของธุรกิจของคุณในอนาคต


สำหรับผู้ค้าออนไลน์ที่ต้องการยกระดับสู่ระบบนี้อย่างมืออาชีพ แต่ไม่อยากปวดหัวกับความซับซ้อน การเลือกใช้ผู้ให้บริการ Service Provider อย่าง i-BOX by NETbay คือตัวช่วยจัดการกระบวนการออกใบกำกับภาษี อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งการจัดทำ ส่งมอบให้ลูกค้า และนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ จบง่าย ๆ ภายใน 3 คลิก พร้อมพื้นที่การจัดเก็บบนคลาวด์ รองรับการเก็บเอกสารย้อนหลังหลายปี ตามที่กฎหมายกำหนด ช่วยให้ร้านค้าของคุณดูน่าเชื่อถือและประหยัดเวลาไปโฟกัสกับการขายได้อย่างเต็มที่


อ่านรายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม คลิกที่นี่

Related Content
ใบกำกับภาษีคืออะไร? สอนวิธีออกใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง
ใบกำกับภาษี คืออะไร? ทำความเข้าใจเอกสารสำคัญทางธุรกิจ เรียนรู้วิธีออกใบกำกับภาษีที่ถูกต้องทุกขั้นตอน สำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่
ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) คืออะไร? ถูกกฎหมายหรือไม่?
ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ คืออะไร? ตอบทุกข้อสงสัยด้านกฏหมาย วิธีการใช้งานกับระบบ e-Tax สรุปครบจบในบทความเดียวสำหรับธุรกิจยุคใหม่
e-Tax คืออะไร? อัปเดต 2568 ใช้อย่างไรให้ถูกต้องตามกฏหมาย
e-Tax คืออะไร? ไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ปี 2568 พร้อมขั้นตอนเริ่มต้นสำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการเพิ่มความได้เปรียบ
This website uses cookies to enhance your experience and providing the best service from us. Please confirm the acceptance. You can learn more about our use of cookies from our Policy. นโยบายความเป็นส่วนตัว and นโยบายคุกกี้
Compare product
0/4
Remove all
Compare