ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีไหม? รู้ก่อนโดนเรียกย้อนหลัง
Last updated: 20 Oct 2025
24 Views
ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีไหม? รู้ก่อนโดนเรียกย้อนหลัง [อัปเดตล่าสุด]
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการ ขายของออนไลน์ ได้กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้หลักของใครหลายคน ด้วยความสะดวกสบายและต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่าการมีหน้าร้าน แต่ท่ามกลางการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce คำถามที่มักจะตามมาเสมอคือแล้วเรื่อง ภาษีอีคอมเมิร์ซ ล่ะ?
ซึ่งพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์หลายคนโดยเฉพาะมือใหม่มักมีความเข้าใจผิดว่าการค้าขายบนโลกออนไลน์นั้นเป็นพื้นที่ปลอดภาษี ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะกรมสรรพากรมีวิธีการตรวจสอบที่ทันสมัย ดังนั้นในบทความนี้ i-BOX By Netbay จะมาอธิบายและพาทุกคนทำความเข้าใจเรื่อง ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีไหม จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ก่อนที่จะสายเกินไป
ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีไหม? ไขข้อสงสัยคาใจ
คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคือ "ต้องเสียภาษี" โดยหลายคนอาจมีความเข้าใจผิดว่าพื้นที่ออนไลน์เป็นเหมือน 'แดนสนธยา' ทางภาษีที่กรมสรรพากรไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือรายได้ที่รับโอนผ่านบัญชีส่วนตัวนั้นไม่จำเป็นต้องนำมาคำนวณ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย ตามประมวลรัษฎากรซึ่งเป็นกฎหมายภาษีหลักของประเทศไทย กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อบุคคลใดมี "เงินได้พึงประเมิน" เกิดขึ้นจากการประกอบอาชีพ การทำธุรกิจ หรือจากทรัพย์สิน บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องนำรายได้มายื่นเพื่อเสียภาษี
ดังนั้นรายได้จากการ ขายของออนไลน์ จึงไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น กรมสรรพากรไม่ได้แบ่งแยกเลยว่ารายได้นั้นจะมาจากการเปิดหน้าร้านแบบดั้งเดิมหรือการไลฟ์สดขายของบนโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าคุณจะตั้งร้านอยู่บนห้างสรรพสินค้าหรือบนโลกออนไลน์ หลักการทางภาษีก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกัน หน้าที่นี้ครอบคลุมผู้ขายทุกคน
ไม่ว่าคุณจะทำในนามบุคคลธรรมดาที่รับเงินเข้าบัญชีส่วนตัว หรือจดทะเบียนเป็นบริษัทก็ตาม ดังนั้น คำถามที่ถูกต้องสำหรับผู้ค้าออนไลน์ในบทความนี้จึงไม่ใช่ "ต้องเสียภาษีไหม?" แต่ควรเป็น "เราจะจัดการและยื่นภาษีอย่างไรให้ถูกต้อง?" ต่างหาก
ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง? เช็กหลักเกณฑ์ภาษีที่ต้องเสีย
เมื่อเข้าใจแล้วว่าการค้าขายออนไลน์นั้นหนีไม่พ้นเรื่องภาษี คำถามต่อมาคือต้องเกี่ยวข้องกับภาษีประเภทไหนบ้าง โดยหลักๆ แล้วสำหรับผู้ค้าออนไลน์จะเกี่ยวข้องกับภาษี 2 ประเภทด้วยกัน
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
นี่คือภาษีพื้นฐานที่สุดที่ผู้ค้าออนไลน์ทุกคนต้องเจอ โดยจะต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ ภ.ง.ด.94 สำหรับรายได้ครึ่งปีแรก (ยื่นช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.) และ ภ.ง.ด.90 สำหรับรายได้ทั้งปี (ยื่นช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. ของปีถัดไป) การคำนวณ ภาษีขายของออนไลน์ จะมาจากสมการ
(รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) = เงินได้สุทธิ
จากนั้นนำเงินได้สุทธิไปคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันได ซึ่งค่าใช้จ่ายสามารถเลือกหักได้ 2 แบบ คือหักแบบเหมา 60% หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริง (ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่ายครบถ้วน)
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ภาษีประเภทนี้จะเกี่ยวข้องกับผู้ค้าออนไลน์ที่มีรายได้เติบโตถึงระดับหนึ่ง โดยกฎหมายกำหนดว่า หากผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเมื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนแล้ว จะต้องเรียกเก็บ VAT 7% จากลูกค้า และออกเอกสารสำคัญที่เรียกว่า ใบกำกับภาษี ให้กับลูกค้าทุกครั้งที่มีการขาย
เริ่มต้นอย่างไร? 4 ขั้นตอนเตรียมตัวเสียภาษีสำหรับผู้ค้าออนไลน์
เมื่อรู้แล้วว่าต้องเสียภาษีแน่ๆ แทนที่จะกังวลใจ การเริ่มต้นเตรียมตัวอย่างเป็นระบบตั้งแต่วันนี้คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับร้านค้าออนไลน์ของคุณ ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ จาก 4 ขั้นตอนพื้นฐานนี้
1. แยกบัญชีส่วนตัวและร้านค้าออกจากกัน
นี่คือกฎเหล็กข้อแรกที่สำคัญที่สุด อย่าใช้บัญชีส่วนตัวรับเงินค่าสินค้าโดยเด็ดขาด การเปิดบัญชีธนาคารใหม่สำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมรายรับ-รายจ่ายที่ชัดเจน และง่ายต่อการรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นภาษีในอนาคต
2. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ
จดบันทึกทุกการเคลื่อนไหวทางการเงินของร้าน ไม่ว่าจะเป็นยอดขายในแต่ละวัน ต้นทุนสินค้า ค่าแพ็กของ ค่าขนส่ง หรือค่าการตลาด การมีข้อมูลเหล่านี้จะทำให้คุณรู้กำไรที่แท้จริงของธุรกิจ และเป็นหลักฐานสำคัญหากเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง
3. เก็บหลักฐานทุกอย่างให้เป็นนิสัย
เก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบิลเงินสด ใบเสร็จรับเงิน สลิปการโอนเงิน หรือใบกำกับภาษีจากซัพพลายเออร์ จัดเก็บให้เป็นหมวดหมู่และเป็นระเบียบ เพราะเอกสารเหล่านี้คือสิ่งที่จะช่วยยืนยันค่าใช้จ่ายของธุรกิจคุณกับกรมสรรพากร
4. ศึกษาเรื่องค่าลดหย่อนภาษี
นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายของธุรกิจแล้ว ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายังสามารถใช้สิทธิค่าลดหย่อนส่วนตัวอื่น ๆ ได้อีกมาก เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, ค่าเบี้ยประกัน, ค่าเลี้ยงดูบุตร/บิดามารดา หรือการลงทุนในกองทุนต่าง ๆ การศึกษาเรื่องนี้จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
กรมสรรพากร รู้รายได้ของเราได้อย่างไร?
หลายคนอาจสงสัยว่าในเมื่อเราทำธุรกรรมกันบนโลกออนไลน์ แล้วกรมสรรพากรจะรู้รายได้ของเราได้อย่างไร ในปัจจุบันมีเครื่องมือและกฎหมายที่ทำให้การตรวจสอบทำได้ง่ายขึ้นมาก
กฎหมาย e-Payment: สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมของบัญชีที่มี "ยอดรับฝากหรือโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกันเกิน 3,000 ครั้งต่อปี" หรือ "ยอดรับฝากหรือโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง และมียอดรวมเกิน 2 ล้านบาทต่อปี" ให้กรมสรรพากรทราบ
การตรวจสอบจากแพลตฟอร์ม: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่มีการเชื่อมโยงและรายงานข้อมูลการขายให้แก่กรมสรรพากร
การสุ่มตรวจและผู้ซื้อแจ้งข้อมูล: กรมสรรพากรมีการสุ่มตรวจร้านค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ รวมถึงอาจได้รับข้อมูลจากผู้ซื้อที่ต้องการเอกสารทางภาษีด้วย
แล้วถ้าขายของออนไลน์ ไม่ยื่นภาษี จะเกิดอะไรขึ้น?
การเพิกเฉยต่อการยื่น ภาษีขายของออนไลน์ จะนำมาซึ่งบทลงโทษที่รุนแรงกว่าเงินภาษีที่ต้องจ่ายหลายเท่านัก ไม่ว่าจะเป็นค่าปรับทางอาญา, เบี้ยปรับทางแพ่งสูงสุด 2 เท่าของค่าภาษี และที่สำคัญคือ "เงินเพิ่ม" ในอัตรา 1.5% ต่อเดือนของยอดภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งจะถูกคิดย้อนหลังไปจนถึงวันที่คุณควรจะต้องจ่าย ทำให้ยอดหนี้ภาษีที่อาจจะเพิ่มขึ้นอีกได้ในอนาคต
จด VAT ยื่นภาษีแล้วทำอะไรต่อ? รู้จักหัวใจสำคัญที่เรียกว่า ใบกำกับภาษี
สำหรับผู้ขายที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีและได้จดทะเบียน VAT แล้ว การออกเอกสาร ใบกำกับภาษี คือหน้าที่สำคัญที่ละเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะเอกสารนี้คือหลักฐานยืนยันการซื้อขายที่ผู้ซื้อ (โดยเฉพาะในรูปแบบบริษัท) ต้องใช้ในการดำเนินการทางภาษีของพวกเขา การออกเอกสารที่ถูกต้องจึงแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของร้านค้า
อย่างไรก็ตาม ในยุคดิจิทัลการออก ใบกำกับภาษี ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนกระดาษอีกต่อไป เพราะในปัจจุบันมีระบบที่ชื่อ E-Tax Invoice เข้ามา ซึ่งนี่คือระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้งาน โดยสามารถออกใบกำกับภาษีในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล
เพียงลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) ที่ใช้ยืนยันตัวตนผู้ออกและรับรองว่าเอกสารไม่มีการแก้ไข ถือเป็นทางเลือกที่ทันสมัย ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้ร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมาก
เริ่มสเกลธุรกิจขายของออนไลน์ ภาษีคือเรื่องที่ต้องจัดการให้ถูกต้อง เริ่มต้นด้วย i-BOX by NETbay
การ ขายของออนไลน์ และ ภาษี เป็นสิ่งที่ต้องเดินคู่กันเสมอ การวางแผนภาษีและยื่นภาษีให้ถูกต้องไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณนอนหลับได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกตรวจสอบย้อนหลัง แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจของคุณเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น เริ่มศึกษาและจัดการเรื่องภาษีตั้งแต่วันนี้ เพื่อความได้เปรียบของธุรกิจของคุณในอนาคต
สำหรับผู้ค้าออนไลน์ที่ต้องการยกระดับสู่ระบบนี้อย่างมืออาชีพ แต่ไม่อยากปวดหัวกับความซับซ้อน การเลือกใช้ผู้ให้บริการ Service Provider อย่าง i-BOX by NETbay คือตัวช่วยจัดการกระบวนการออกใบกำกับภาษี อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งการจัดทำ ส่งมอบให้ลูกค้า และนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ จบง่าย ๆ ภายใน 3 คลิก พร้อมพื้นที่การจัดเก็บบนคลาวด์ รองรับการเก็บเอกสารย้อนหลังหลายปี ตามที่กฎหมายกำหนด ช่วยให้ร้านค้าของคุณดูน่าเชื่อถือและประหยัดเวลาไปโฟกัสกับการขายได้อย่างเต็มที่
อ่านรายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม คลิกที่นี่
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการ ขายของออนไลน์ ได้กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้หลักของใครหลายคน ด้วยความสะดวกสบายและต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่าการมีหน้าร้าน แต่ท่ามกลางการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce คำถามที่มักจะตามมาเสมอคือแล้วเรื่อง ภาษีอีคอมเมิร์ซ ล่ะ?
ซึ่งพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์หลายคนโดยเฉพาะมือใหม่มักมีความเข้าใจผิดว่าการค้าขายบนโลกออนไลน์นั้นเป็นพื้นที่ปลอดภาษี ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะกรมสรรพากรมีวิธีการตรวจสอบที่ทันสมัย ดังนั้นในบทความนี้ i-BOX By Netbay จะมาอธิบายและพาทุกคนทำความเข้าใจเรื่อง ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีไหม จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ก่อนที่จะสายเกินไป
ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีไหม? ไขข้อสงสัยคาใจ
คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคือ "ต้องเสียภาษี" โดยหลายคนอาจมีความเข้าใจผิดว่าพื้นที่ออนไลน์เป็นเหมือน 'แดนสนธยา' ทางภาษีที่กรมสรรพากรไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือรายได้ที่รับโอนผ่านบัญชีส่วนตัวนั้นไม่จำเป็นต้องนำมาคำนวณ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย ตามประมวลรัษฎากรซึ่งเป็นกฎหมายภาษีหลักของประเทศไทย กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อบุคคลใดมี "เงินได้พึงประเมิน" เกิดขึ้นจากการประกอบอาชีพ การทำธุรกิจ หรือจากทรัพย์สิน บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องนำรายได้มายื่นเพื่อเสียภาษี
ดังนั้นรายได้จากการ ขายของออนไลน์ จึงไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น กรมสรรพากรไม่ได้แบ่งแยกเลยว่ารายได้นั้นจะมาจากการเปิดหน้าร้านแบบดั้งเดิมหรือการไลฟ์สดขายของบนโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าคุณจะตั้งร้านอยู่บนห้างสรรพสินค้าหรือบนโลกออนไลน์ หลักการทางภาษีก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกัน หน้าที่นี้ครอบคลุมผู้ขายทุกคน
ไม่ว่าคุณจะทำในนามบุคคลธรรมดาที่รับเงินเข้าบัญชีส่วนตัว หรือจดทะเบียนเป็นบริษัทก็ตาม ดังนั้น คำถามที่ถูกต้องสำหรับผู้ค้าออนไลน์ในบทความนี้จึงไม่ใช่ "ต้องเสียภาษีไหม?" แต่ควรเป็น "เราจะจัดการและยื่นภาษีอย่างไรให้ถูกต้อง?" ต่างหาก
ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง? เช็กหลักเกณฑ์ภาษีที่ต้องเสีย
เมื่อเข้าใจแล้วว่าการค้าขายออนไลน์นั้นหนีไม่พ้นเรื่องภาษี คำถามต่อมาคือต้องเกี่ยวข้องกับภาษีประเภทไหนบ้าง โดยหลักๆ แล้วสำหรับผู้ค้าออนไลน์จะเกี่ยวข้องกับภาษี 2 ประเภทด้วยกัน
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
นี่คือภาษีพื้นฐานที่สุดที่ผู้ค้าออนไลน์ทุกคนต้องเจอ โดยจะต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ ภ.ง.ด.94 สำหรับรายได้ครึ่งปีแรก (ยื่นช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.) และ ภ.ง.ด.90 สำหรับรายได้ทั้งปี (ยื่นช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. ของปีถัดไป) การคำนวณ ภาษีขายของออนไลน์ จะมาจากสมการ
(รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) = เงินได้สุทธิ
จากนั้นนำเงินได้สุทธิไปคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันได ซึ่งค่าใช้จ่ายสามารถเลือกหักได้ 2 แบบ คือหักแบบเหมา 60% หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริง (ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่ายครบถ้วน)
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ภาษีประเภทนี้จะเกี่ยวข้องกับผู้ค้าออนไลน์ที่มีรายได้เติบโตถึงระดับหนึ่ง โดยกฎหมายกำหนดว่า หากผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเมื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนแล้ว จะต้องเรียกเก็บ VAT 7% จากลูกค้า และออกเอกสารสำคัญที่เรียกว่า ใบกำกับภาษี ให้กับลูกค้าทุกครั้งที่มีการขาย
เริ่มต้นอย่างไร? 4 ขั้นตอนเตรียมตัวเสียภาษีสำหรับผู้ค้าออนไลน์
เมื่อรู้แล้วว่าต้องเสียภาษีแน่ๆ แทนที่จะกังวลใจ การเริ่มต้นเตรียมตัวอย่างเป็นระบบตั้งแต่วันนี้คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับร้านค้าออนไลน์ของคุณ ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ จาก 4 ขั้นตอนพื้นฐานนี้
1. แยกบัญชีส่วนตัวและร้านค้าออกจากกัน
นี่คือกฎเหล็กข้อแรกที่สำคัญที่สุด อย่าใช้บัญชีส่วนตัวรับเงินค่าสินค้าโดยเด็ดขาด การเปิดบัญชีธนาคารใหม่สำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมรายรับ-รายจ่ายที่ชัดเจน และง่ายต่อการรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นภาษีในอนาคต
2. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ
จดบันทึกทุกการเคลื่อนไหวทางการเงินของร้าน ไม่ว่าจะเป็นยอดขายในแต่ละวัน ต้นทุนสินค้า ค่าแพ็กของ ค่าขนส่ง หรือค่าการตลาด การมีข้อมูลเหล่านี้จะทำให้คุณรู้กำไรที่แท้จริงของธุรกิจ และเป็นหลักฐานสำคัญหากเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง
3. เก็บหลักฐานทุกอย่างให้เป็นนิสัย
เก็บเอกสารที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบิลเงินสด ใบเสร็จรับเงิน สลิปการโอนเงิน หรือใบกำกับภาษีจากซัพพลายเออร์ จัดเก็บให้เป็นหมวดหมู่และเป็นระเบียบ เพราะเอกสารเหล่านี้คือสิ่งที่จะช่วยยืนยันค่าใช้จ่ายของธุรกิจคุณกับกรมสรรพากร
4. ศึกษาเรื่องค่าลดหย่อนภาษี
นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายของธุรกิจแล้ว ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายังสามารถใช้สิทธิค่าลดหย่อนส่วนตัวอื่น ๆ ได้อีกมาก เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, ค่าเบี้ยประกัน, ค่าเลี้ยงดูบุตร/บิดามารดา หรือการลงทุนในกองทุนต่าง ๆ การศึกษาเรื่องนี้จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
กรมสรรพากร รู้รายได้ของเราได้อย่างไร?
หลายคนอาจสงสัยว่าในเมื่อเราทำธุรกรรมกันบนโลกออนไลน์ แล้วกรมสรรพากรจะรู้รายได้ของเราได้อย่างไร ในปัจจุบันมีเครื่องมือและกฎหมายที่ทำให้การตรวจสอบทำได้ง่ายขึ้นมาก
กฎหมาย e-Payment: สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมของบัญชีที่มี "ยอดรับฝากหรือโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกันเกิน 3,000 ครั้งต่อปี" หรือ "ยอดรับฝากหรือโอนเงินเข้าทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง และมียอดรวมเกิน 2 ล้านบาทต่อปี" ให้กรมสรรพากรทราบ
การตรวจสอบจากแพลตฟอร์ม: แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่มีการเชื่อมโยงและรายงานข้อมูลการขายให้แก่กรมสรรพากร
การสุ่มตรวจและผู้ซื้อแจ้งข้อมูล: กรมสรรพากรมีการสุ่มตรวจร้านค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ รวมถึงอาจได้รับข้อมูลจากผู้ซื้อที่ต้องการเอกสารทางภาษีด้วย
แล้วถ้าขายของออนไลน์ ไม่ยื่นภาษี จะเกิดอะไรขึ้น?
การเพิกเฉยต่อการยื่น ภาษีขายของออนไลน์ จะนำมาซึ่งบทลงโทษที่รุนแรงกว่าเงินภาษีที่ต้องจ่ายหลายเท่านัก ไม่ว่าจะเป็นค่าปรับทางอาญา, เบี้ยปรับทางแพ่งสูงสุด 2 เท่าของค่าภาษี และที่สำคัญคือ "เงินเพิ่ม" ในอัตรา 1.5% ต่อเดือนของยอดภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งจะถูกคิดย้อนหลังไปจนถึงวันที่คุณควรจะต้องจ่าย ทำให้ยอดหนี้ภาษีที่อาจจะเพิ่มขึ้นอีกได้ในอนาคต
จด VAT ยื่นภาษีแล้วทำอะไรต่อ? รู้จักหัวใจสำคัญที่เรียกว่า ใบกำกับภาษี
สำหรับผู้ขายที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีและได้จดทะเบียน VAT แล้ว การออกเอกสาร ใบกำกับภาษี คือหน้าที่สำคัญที่ละเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะเอกสารนี้คือหลักฐานยืนยันการซื้อขายที่ผู้ซื้อ (โดยเฉพาะในรูปแบบบริษัท) ต้องใช้ในการดำเนินการทางภาษีของพวกเขา การออกเอกสารที่ถูกต้องจึงแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของร้านค้า
อย่างไรก็ตาม ในยุคดิจิทัลการออก ใบกำกับภาษี ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนกระดาษอีกต่อไป เพราะในปัจจุบันมีระบบที่ชื่อ E-Tax Invoice เข้ามา ซึ่งนี่คือระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้งาน โดยสามารถออกใบกำกับภาษีในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล
เพียงลงลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) ที่ใช้ยืนยันตัวตนผู้ออกและรับรองว่าเอกสารไม่มีการแก้ไข ถือเป็นทางเลือกที่ทันสมัย ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้ร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมาก
เริ่มสเกลธุรกิจขายของออนไลน์ ภาษีคือเรื่องที่ต้องจัดการให้ถูกต้อง เริ่มต้นด้วย i-BOX by NETbay
การ ขายของออนไลน์ และ ภาษี เป็นสิ่งที่ต้องเดินคู่กันเสมอ การวางแผนภาษีและยื่นภาษีให้ถูกต้องไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณนอนหลับได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกตรวจสอบย้อนหลัง แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจของคุณเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น เริ่มศึกษาและจัดการเรื่องภาษีตั้งแต่วันนี้ เพื่อความได้เปรียบของธุรกิจของคุณในอนาคต
สำหรับผู้ค้าออนไลน์ที่ต้องการยกระดับสู่ระบบนี้อย่างมืออาชีพ แต่ไม่อยากปวดหัวกับความซับซ้อน การเลือกใช้ผู้ให้บริการ Service Provider อย่าง i-BOX by NETbay คือตัวช่วยจัดการกระบวนการออกใบกำกับภาษี อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งการจัดทำ ส่งมอบให้ลูกค้า และนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ จบง่าย ๆ ภายใน 3 คลิก พร้อมพื้นที่การจัดเก็บบนคลาวด์ รองรับการเก็บเอกสารย้อนหลังหลายปี ตามที่กฎหมายกำหนด ช่วยให้ร้านค้าของคุณดูน่าเชื่อถือและประหยัดเวลาไปโฟกัสกับการขายได้อย่างเต็มที่
อ่านรายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม คลิกที่นี่
Related Content
ใบกำกับภาษี คืออะไร? ทำความเข้าใจเอกสารสำคัญทางธุรกิจ เรียนรู้วิธีออกใบกำกับภาษีที่ถูกต้องทุกขั้นตอน สำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่
ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ คืออะไร? ตอบทุกข้อสงสัยด้านกฏหมาย วิธีการใช้งานกับระบบ e-Tax สรุปครบจบในบทความเดียวสำหรับธุรกิจยุคใหม่
e-Tax คืออะไร? ไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ปี 2568 พร้อมขั้นตอนเริ่มต้นสำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการเพิ่มความได้เปรียบ